หยางอี้เหอ - นิยาย หยางอี้เหอ : Dek-D.com - Writer
×

    หยางอี้เหอ

    ท่องไปกับโลกผจญภัยของหยางอี้เหอ ดวงจุติขององค์มหาเทพปฐมภพ ความหวังเดียวที่จะกอบกู้จักรวาลทั้งเก้าให้รอดพ้นจากมหันตภัยร้าย

    ผู้เข้าชมรวม

    131

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    131

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 มิ.ย. 63 / 14:46 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ท่องไปกับโลกผจญภัยของหยางอี้เหอ ดวงจุติขององค์มหาเทพปฐมภพ ความหวังเดียวที่จะกอบกู้จักรวาลทั้งเก้าให้รอดพ้นจากมหันตภัยร้าย
    เขาให้เขียนให้ครบ 200 ตัวอักษร งั้นก็ขอฝากบทกลอนที่ลู่พั่งกล่าวกับจักรพรรดิเหนือหล้า ที่เคยเขียนไว้รู้สึกประทับใจกับฉากนี้ไม่น้อย

    “เมื่อความคิดถึง มาพร้อมสายฝน
     
    ห่วงหาใครบางคน เมื่อสายชลเป็นสาย
     
    ใบหลิวพลิ้วไหว เมื่อสายลมแผ่วพลิ้ว
     
    กลิ่นไอสายฝน ละอองพร่างพรม ฉํ่าชื่น
     
    ผืนดินอุ่นซับความชื่นฉ่ำและสดใส
     
    นางอยู่แห่งใด หัวใจเพ้อคะนึงจิตคิดถึง…นาง”
     
     
     
    เสียงบทกลอนเคล้าสายลมที่หลุดจากปากของลู่พั่งและใบหลิวพลิกลอยที่หมุนวนรอบต้นหลิวอย่างช้าๆ…สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้คล้ายเป็นภาพอัศจรรย์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีก่อนเพียงแต่ตอนนั้นมีสายฝนพิรุณโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายและเป็นต้นหลิวต้นหนึ่งไม่ได้เป็นต้นหลิวคู่เช่นวันนี้
     
    ไม่ทราบว่าไม่เพียงลู่พั่งที่หยาบกร้านเข้าใจว่าตนไม่เข้าใจในรัก หรือแม้แต่จักรพรรดิเหนือหล้าเองก็ไม่เข้าใจในความรู้สึกของตนเองเช่นกัน
     
    หากความคิดถึงคือละอองฝนพร่างพราย ให้แมกไม้ชุ่มฉ่ำ…ไม่ทราบว่าในสิบปีมานี้หัวใจของจักรพรรดิเหนือหล้ากลายเป็นแมกไม้ที่แห้งเหี่ยวตายไปแล้วกี่พันกี่หมื่นรอบ
     
     
     
    ในแต่ละคืนวันที่ผ่านพ้นไปไม่รู้ว่าหัวใจนางต้องเผชิญกับมรสุมแห่งความเจ็บปวดรวดร้าวที่มาเยือนอยู่ทุกค่ำคืนอย่างไม่ขาดสาย ที่นางต้องพยายามปิดบังปกปิดให้มิดชิดไว้ภายใต้หน้ากากสีทองที่แวววับนี้
     
     
    เมื่อบทกลอนจบสิ้นใบหลิวร่วงหล่นสายลมที่ผิดวิสัยธรรมชาติสลายไป ร่างของลู่พั่งก็ลอยลงมายืนที่พื้นตรงหน้าของนาง จักรพรรดิเหนือหล้าคล้ายดั่งถูกแช่แข็งให้ผนึกร่างจมอยู่กับอดีตที่ไม่อาจหวนคืน ค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะความเป็นจริง
     
    เสียงเอ่ยเอื้อนบทกลอนที่เย้าสายลมสายฝนเช่นนี้ นางไม่คิดว่าวันนี้จะได้ยินอีก
     
    ในตอนนี้ความฉ่ำเย็นคล้ายได้กลับคืนมาอีกครั้งแมกไม้ที่เหี่ยวแห้ง มรุสุมแห่งความเจ็ดปวดรวดร้าวระงับไป แต่ทุกสิ่งอย่างที่ฉายออกมาผ่านหน้ากากสีทองยังคงเป็นความเย็นชาไม่แยแสเช่นเดิม
     
     
     
    “ ท่านยังคงท่องจำบทกลอนนี้ได้ ” ริมฝีปากดั่งกลีบกุหลาบที่แสนดึงดูดที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก ขยับขึ้นเมื่อเห็นร่างอ้วนเตี้ยของลู่พั่งขยับยืนตรงหน้า
     
    ลู่พั่งมองดูเรือนร่างที่เย้ายวนตา แม้ห่างกันเพียงสองก้าว ทว่า...ราวกับต่อให้ตนก้าวเท้าที่สั้นป้อมไปข้างหน้าหลายร้อยล้านก้าวก็ไม่อาจกลับไปยืนเคียงคู่นางได้อีก ตนเองและจักรพรรดิเหนือหล้ามีระยะห่างที่ขมขื่นน่าชิงชังเพียงก้าวข้ามนี้ไว้เสมอ
     
    ลู่พั่งเงยดูหน้ากากทองที่ฉาบเย็น แม้ในความมืดเมื่อมันสะท้อนกับประกายตาของเขายังส่องประกายลางๆออกมา เขาเอ่ยขึ้นว่า
     
    “ ข้าย่อมไม่ลืมเลือนบทกลอนนี้ ผู้ที่สมองโง่ทึบและหยาบกร้านเช่นข้า เพียงคำกลอนที่ขับกล่อมสตรีที่ตนเองลุ่มหลงยังต้องแอบคัดลอกผู้อื่นมา ”
     
    เมื่อพูดถึงตรงนี้ร่างอ้วนเตี้ยที่เหยียบบนพื้นที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยยังสูงเพียงเอวของนาง แหงนมองดูยอดต้นหลิวคู่ที่ทรงพุ่มสูงโปร่งตีโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมพลันส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามตนเอง ความจริงตั้งแต่วัยเด็กตลอดมาเขาล้วนถูกผู้อื่นหัวเราะเย้ยหยัน แต่บัดนี้ผู้ที่สามารถหัวเราะเยาะเย้ยหยันเขาได้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น…คือตัวเขาเอง
     
    พอเขาหัวร่อจนสาแก่ใจ เสียงของจักรพรรดิเหนือหล้าก็ดังขึ้นหลังเสียงหัวร่อเขาเงียบลง
     
    “ เราหวังให้ท่านลืมบทกลอนนี้…ลืมความสัมพันธ์ และลืมว่า..มีเราไปเสีย ”

    เสียงเปล่งออกมาพร้อมกับสายตาว่างเปล่าของจักรพรรดิเหนือหล้าที่ใช้มองดูร่างที่ต่ำเตี้ยของลู่พั่ง
     
     
    ลู่พั่งพอมองเห็นสายตาที่ว่างเปล่า หัวใจของเขาถึงกลับถูกบีบรัดอย่างรุนแรง เขารีบหันหนีไปมองความมืดที่อยู่รอบทิศทางที่หวังว่ามันจะช่วยปกปิดความรู้สึกผิดหวังภายในใจและช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดิ่งต่ำลงว่า
     
    “ หากข้าสามารถลืมเลือนท่านได้จริงๆ ข้างในใจของท่านใยจะไม่รู้สึกผิดหวังรวดร้าวไปมากกว่านี้ ”
     
    หัวใจของนางถึงกลับถูกบีบรัดอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเขา แต่สิ่งที่จักรพรรดิเหนือหล้าเอ่ยตอบยังคงชัดช้าและเย็นชา ไม่รู้ว่าภายในใจของนางกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่
     
    “ ถึงท่านไม่ลืมเลือนไปจริงๆ แต่สำหรับเราได้ลืมเลือนทุกสิ่งอย่างที่ผ่านมาจนหมดสิ้นแล้ว ”
     
     
    ลู่พั่งหันมามองหน้ากากสีทองของนาง หากเป็นผู้อื่นพูดไม่หู เขาคงตอกกลับหน้าหงายไปแล้ว
     
     
    แต่ลู่พั่งเข้าใจ นางปรารถนาต้องการแสดงให้เขาเห็นว่า …ตลอดระยะเวลาสองปีที่ทั้งสองได้เคยอยู่ร่วมกัน และที่ผ่านมาความสัมพันธ์คะนึงหาส่วนตัว นับแต่นี้จะไม่มีความหมายอันใดอีก

    ......................................
    เป็นฉากที่ผู้แต่ง.....รู้สึกสงสารลู่พั่ง ตัวเลวร้ายแห่งยุคเสียจริงๆ ..KIBIN

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น